เรียนรู้แผลเป็น ป้องกันและแก้ไขปัญหาแผลเป็นอย่างถูกต้อง



เรื่องแผลเป็นหากจะถามว่าใครไม่เคยเป็นคงเป็นไปไม่ได้ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากมีแผลเป็นในร่างกายกันอยู่แล้ว ทิ้งไว้ซึ่งรอยแผลกวนใจกว่าจะหายใช้เวลาหลายปี  บางครั้งก็ไม่หายเลย  แต่อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันและหลีกเลี่ยงไม่ได้ แผลที่ทำให้เกิดแผลเป็นได้แก่ แผลเป็นจากสิว แผลจากการผ่าตัด แผลเป็นจากรอยเตารีด แผลจากอุบัติเหตุ แผลจากการหกล้ม น้ำร้อนลวก ฯลฯ  ดังนั้นการเรียนรู้แผลเป็น จึงการการป้องกันตัวเองจากแผลเป็นได้  และสามารถดูแลรักษาแผลเป็นได้ทันทีอย่างถูกต้อง



สาเหตุที่ทำให้เกิดแผลเป็น

     ร่างการคนเราเมื่อเกิดบาดแผลเกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อที่ลึกถึงชั้นหนังแท้  ร่างกายจะมีกระบวนรักษาแผลหรือการสมานแผลเกิดขึ้น  ในช่วงแรกหลังเกิดแผลจะมีการกระตุ้นการแข็งตัวของลือด  เกิดการอักเสบ  จากนั้นจะมีการสร้างเนื้อเยื่อซึ่งเป็นเส้นใยคอลลาเจน สร้างเซล Fibroblast เพิ่มขึ้นมาทดแทนแผลที่ถูกทำลายไปและปรับสภาพของเซลผิวหนังเข้าสู่โมดสมดุล เป็นกระบวนการรักษาแผลตามธรรมชาติ

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นที่แตกต่างกันคือ ความผิดปกติของการบวนการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อไม่สมดุล  คือ ถ้าสร้างคอลลาเจนมากเกิดไปจะทำให้เกิดแผลเป็นนูนแดงและแผลคลอยด์  แต่ถ้าแผลถูกทำลายลึกมากหลายๆชั้นผิวหนัง  จนไม่สามารถสร้างชั้นผิวได้ก็จะทำให้เกิดแผลเป็นแบบหลุม เช่น แผลจากรอยสิวและอีสุกอีใส

แผลเป็นแบ่งออกได้ 3 ลักษณะ


1. แผลเป็นนูน (Hypertrophic Scar)
     คือ เป็นรอยแผลสีแดงและนูนขึ้นมากกว่าปกติ การอาการคันได้บ้าง ลักษณะแผลจะอยู่ในบริเวณที่เกิดแผล จะไม่ขยายไปมากกว่าเดิม  ลักษณะผิวปกตินี้เกิดจากการผิดปกติของการสร้างคอลาเจนมากเกินไป


2. แผลเป็นคีลอยด์ (Keloidal Scar)
     คือ แผลเป็นแดงและนูนหนากว่าแผลเป็นนูน (Hypertrophic Scar) ซึ่งแผลเป็นคีลอยด์แผลจะขยายตัวกว้างบริเวณรอบแผลมากกว่าแผลที่เกิดในตอนแรก


3. แผลเป็นหลุม (Hypotrophic Scar)
     คือ เป็นรอบแผลเป็นที่เกิดจากเนื้อเยื่อผิวถูกทำลายลงลึกหลายชั้นมาก  จนไม่สามารถสร้างชั้นผิวขึ้นมาแทนทีให้ครบเหมือนผิวเดิมได้

ทางเลือกในการรักษาแผลเป็น


1. เจลลดรอยแผลเป็น  วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่าย เพียงหาซื้อ ยาทาแผลเป็นจากร้านขายยาก็ได้แล้ว  ยาทาแผลเป็นหรือครีมลบแผลเป็น จะมีส่วนผสมของวิตามิน E, A ที่ช่วยให้แผลเป็นจางลง แต่ใช้ระยะเวลาในรักษานาน


2.การปิดด้วยแผ่นซิลิโคนเจลแผ่น
     แผ่นซิลิโคนเจลให้ใช้หลังแผลปิดเท่านั้น  เหมาะกับแผลที่มีลักษณะนูน สีคล้ำหรือสีแดง  โดยนำแผ่นซิลิโคนเจลทับแผล จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แผลและลดการอักเสบของแผละเป็น

3. การฉีดยาสเตียรอยด์  โดยการฉีดยาสเตียรอยด์ใต้แผลเป็น เพื่อให้แผลเป็นยุบลงจนราบกับผิวหนังปกติ โดยฉีดหลายครั้ง ครั้งละ 0.5 – 1 cc ห่างกันประมาณเดือนละ 1 ครั้ง จนกว่าแผลเป็นจะราบแบน


4.การผ่าตัดเอาแผลเป็นเก่าออก  การเป็นผ่าตัดแผลเป็นเก่าที่ช่วยให้รอยแผลเป็นใหม่ดูดีขึ้นมานั่นเอง จะมีขนาดแผลใกล้เคียงกับแผลเดิม   การผ่าตัดจะต้องอาศัยศัลยแพทย์ผู้เชียวชาญเท่านั้นเพื่อป้องกันแผลเป็นให้หายเป็นปกติได้

5.การฉีดคอลลาเจน  สามารถใช้แผลเป็นแบบหลุม  โดยแพทย์จะฉีดสารสังเคราะห์ “คอลลาเจน” บริเวณผิวที่เป็นหลุม เพื่อเติมเต็มเนื้อผิวขึ้นมาให้ครบเหมือนผิวเดิมได้


6.เลเซอร์แผลเป็น  เพื่อให้เนื้อเยื่อผิวที่นูนออกให้เรียบขึ้น  แต่การใช้เลเซอร์รักษาแผลเป็นจะได้ผลปานกลาง  โดยจะต้องรักษาควบคู่กับการรักษาอื่นๆ ด้วย

     การรักษาแผลถ้ารู้เร็วและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยให้แผลเป็นหายง่ายขึ้น และการรักษามีหลายวิธีแต่จะไม่เห็นผล 100% เพียงช่วยให้แผลนั้นจางลง ไม่นูน ไม่เป็นหลุม และมีสภาพดูดีขึ้นมาได้นั่นเอง  การรักษาแผลเป็นควรอยู่ในการดูแลรักษาของแพทย์เท่านั้น เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เช่น เกิดการอักเสบ อาการแพ้ต่างๆ เป็นต้น และผู้ป่วยเองควรดูแลผิวและรอยแผยเป็นให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคต่างๆด้วย วันนี้ CareWhite ฝากการเรียนรู้แผลเป็น ป้องกันและแก้ไขปัญหาแผลเป็นอย่างถูกต้อง ให้เป็นแนวทางในการรักษาแผลเป็นด้วยน่ะ


Credit : http://frynn.com
http://th.yanhee.net
Share on Google Plus

About nuyingnaja

บล็อกสำหรับคนที่ต้องการมีผิวขาวใส ผิวสวยแบบธรรมชาติ เขียนโดย นู๋หญิง สาวน้อยผู้รักสวยรักงาม

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น